เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น หากผู้ขับขี่ได้มีการทำประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองถึงรถยนต์ของตนเองด้วย ซึ่งก็หมายถึงการซื้อประกันภัยประเภท 1, 2+ หรือ 3+ นอกเหนือจากที่บริษัทประกันภัยจะให้ความคุ้มครองในส่วนของการชดเชยค่าเสียหายในการซ่อมแล้ว บริษัทประกันภัยยังต้องจ่ายค่าขนย้ายรถยนต์ให้กับเราด้วย โดยบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าขนย้ายรถตามค่าเสียหายที่แท้จริงแต่ทั้งนี้ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซมนะครับ ดังข้อความที่อยู่ในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ซึ่งออกตามคำสั่งนายทะเบียนของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ในหมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ข้อ 3. การดูแลขนย้าย ซึ่งระบุไว้ดังนี้
“เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายซึ่งมีการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยนี้ บริษัทจะจ่ายค่าดูแลรักษารถยนต์ และค่าขนย้ายรถยนต์ทั้งหมด นับแต่วันเกิดเหตุ จนกว่าการซ่อมแซมหรือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเสร็จสิ้นตามจำนวนที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อมแซม”
ยกตัวอย่าง เช่น
หากรถของคุณเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และตำรวจได้ลากรถไปที่สถานีตำรวจเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางคดี เมื่อตำรวจดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจึงลากรถต่อไปยังอู่ซ่อม ค่าใช้จ่ายในการลากรถเหล่านี้บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบให้กับเรานะครับ แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าว บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซมรถนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี บริษัทประกันภัยอาจต้องรับผิดชอบในเรื่องค่าขนย้ายรถมากกว่า 20% ก็เป็นได้ หากความจำเป็นในการขนย้ายรถนั้นมีสาเหตุมาจากการบริหารจัดการของบริษัทประกันภัยเอง เช่นการที่บริษัทประกันภัยคุมราคาค่าซ่อมไม่ได้เนื่องจากอู่เสนอราคาสูงเกินไป หรืออู่ไม่สามารถดำเนินการซ่อมรถให้แล้วเสร็จได้ภายในเวลา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขนย้ายรถคันนี้ไปยังอู่ซ่อมรถรายอื่น ในกรณีเช่นนี้ บริษัทประกันภัยจำเป็นต้องจ่ายค่าลากรถในส่วนที่เกินนี้ให้ด้วย ถึงแม้ว่าจะเกินจาก 20% ของค่าซ่อมแซมแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการขนย้ายรถหรือลากรถดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น บริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบเฉพาะกรณีที่รถคันเอาประกันภัยเกิดอุบัติเหตุเท่านั้นนะครับ หากว่าเป็นกรณีที่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเพราะรถเสีย ซึ่งไม่ได้เป็นผลพวงมาจากการเกิดอุบัติเหตุ กรณีเช่นนี้ บริษัทประกันภัยจะไม่จ่ายค่าขนย้ายรถให้กับเรา อย่างไรก็ตาม หากว่ากรมธรรม์ประกันภัยของลูกค้าได้มีการให้บริการเสริมพิเศษในเรื่องการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ลูกค้าอาจสามารถเรียกใช้บริการรถลากหรือรถยกได้เช่นกัน ส่วนวิธีการในการจะลากรถหรือยกรถนั้นก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น ลักษณะของตัวรถ พื้นที่เกิดเหตุ และหน่วยงานที่บริษัทประกันจ้างมาว่ามีการเคลื่อนย้ายแบบใดได้บ้าง ทั้งนี้สิทธิดังกล่าวจะให้มากหรือให้น้อยหรือให้สิทธิใช้ได้ฟรีเลยก็ขึ้นอยู่กับแพคเกจประกันภัยที่ลูกค้าได้ทำไว้ ดังนั้นลูกค้าต้องศึกษารายละเอียดของกรมธรรม์และความคุ้มครองให้ชัดเจน จะได้ไม่เสียสิทธิกันนะครับ แต่หากผู้ขับขี่ไม่มีประกันภัยไว้ดูแลรถยนต์ของตนเองเลย ผู้ขับขี่ก็ต้องเป็นคนชำระค่าใช้จ่ายในการขนย้ายรวมถึงจัดการซ่อมรถด้วยตัวเองทั้งหมดเลยนะครับ
เห็นไหมครับว่า การมีประกันภัยรถยนต์เอาไว้เพื่อคุ้มครองและบรรเทาความเสียหายยามเกิดเหตุนั้น เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากๆ ดังคำที่ว่า “ประกันภัยมีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี” จริงไหมล่ะครับ ??