สวัสดีครับ พี่เม่นจาก srikrung168.com นะครับ
หลังจากที่เราได้ใบเสนอราคามาแล้ว เราคิดส่วนลดสำหรับสมาชิกเป็นแล้ว คราวนี้เราเอาข้อมูลทั้งหมดที่มี มาพิจารณาเลือกหาแพคเกจที่คุ้มค่าที่สุดกันครับ โดยพี่เม่นแบ่งออกเป็น 5 ข้อ ได้แก่
เป็นแพคเกจของบริษัทประกันภัยที่มีที่มีคอนแทคกับสถานที่ซ่อมที่เราสะดวกหรือไว้ใจ ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าใบเสนอราคาที่เรามีอยู่ในมือจะเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง หรือจะมีราคาถูกมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคอนแทคสถานที่เราวางแผนจะใช้บริการงานซ่อม อันนี้ไม่ต้องเสียดาย ให้ตัดใจและเอาออกไปจากลิส เพราะการใช้บริษัทประกันภัยที่มีคอนแทคกับสถานที่ซ่อม จะช่วยให้งานเครมและงานซ่อมของเราสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ไม่เสียเวลาคุมราคา ไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน พี่เม่นขอยกตัวอย่างเพื่อนพี่เม่นเอง ก่อนที่จะมาซื้อประกันกับพี่เม่น เค้าเปลี่ยนบริษัทประกันภัยแล้วโดยซื้อประกันซ่อมศูนย์ แต่ไม่ได้เช็คกับศูนย์ก่อนว่ารับเครมของบริษัทนั้นหรือไม่ ปรากฏว่าพอถึงเวลาจะใช้งานศูนย์ไม่ได้มีคอนแทคกับบริษัทนี้ เค้าจึงต้องนำรถไปเข้าศูนย์อีกจังหวัดนึงที่ห่างออกไป 150 กม ทำให้เสียเวลาและเงินโดยใช่เหตุ
ความคุ้มครองและทุนประกันเหมาะสม ถ้าพูดถึงเรื่องความคุ้มครอง บางคนมองแค่ว่าทุนซ่อมรถเรามากน้อยแค่ไหน แต่จริง ๆ แล้วอยากจะให้มองให้ครบทั้ง 3 ส่วนนั้นก็คือ ความคุ้มครองบุคคลภายนอก ทุนประกันซ่อมรถเรา และ ความคุ้มครองคนขับและผู้โดยสารในรถเรา ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยความเสี่ยงที่พี่เม่นแนะนำให้เอามาพิจารณาความคุ้มครองครับ ลำดับต่อไปก็นำความเสี่ยงเหล่านี้ไปพิจารณาความคุ้มครองแต่ละส่วน
ความคุ้มครองบุคคลภายนอก อันนี้พิจารณาลักษณะการใช้งาน และพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นหลัก ถ้าหากที่ผ่านมาพฤติกรรมการขับขี่ของเราดี ไม่เคยเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นฝ่ายผิดแต่ความเสียหายไม่สูง เราก็สามารถเลือกความคุ้มครองบุคคลภายนอกที่ทุนต่ำลงหน่อยได้ เท่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ แพคเกจที่มีความคุ้มครองบุคคลภายนอกต่ำ ราคาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 อยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นต้นๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว แต่คนที่มีพฤติกรมการขับขี่ไม่ดี ไม่เหมาะที่จะเลือกใช้ เพราะสิ่งที่ประหยัดไปอาจจะไม่คุ้มค่าหากเกิดอุบัติเหตุแล้วมูลค่าความคุ้มครองบุคคลภายนอกไม่เพียงพอ
ทุนประกันซ่อมรถเรา อันนี้มี 2 รูปแบบแล้วแต่แพคเกจที่เราเลือก ทุนประกันมาก ความคุ้มครองมากขึ้น ราคาเบี้ยก็มากตาม ในทางตรงกันข้ามทุนประกันน้อย ความคุ้มครองน้อยลง เบี้ยประกันภัยก็ถูกลง จะเลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับการประเมินความเสี่ยงของเรา แบบที่ 1 ทุนประกัน อ้างอิงตามราคาที่แท้จริงในปัจจุบัน อันนี้เป็นแบบมาตรฐานทั่วไปที่เราคุ้นเคย และมักใช้กันเป็นปกติอยู่ในปัจจุบัน ก่อนซื้อประกันภัยรถยนต์ต้องจูนความเข้าใจกันก่อนคือ - การทำประกันภัยรถยนต์ เป็นการแบ่งเบาความเสี่ยงของผู้เอาประกันบางส่วนไปไว้ที่บริษัทประกันภัย ส่วนที่เกินจากที่กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเอง แปลว่าเค้าไม่ได้คุ้มครองเต็มมูลค่า 100% นะครับ - บริษัทประกันภัยจะชดเชยความเสียหายตามมูลค่าที่เกิดขึ้นจริง โดยอ้างอิงจากมูลค่ากลางในตลาดปัจจุบัน ก็คืออ้างอิงจากราคาขายรถยี่ห้อนี้ รุ่นนี้ ปีนี้ ในปัจจุบันนั่นละครับ ถ้ารถรุ่นนั้นราคาขายตกอย่างรวดเร็ว ทุนประกันก็จะตกอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน - ดังนั้นมูลค่าทุนประกันภัยที่เหมาะสมคือ ประมาณ 80% ของราคาขายรถรุ่นนั้นในปัจจุบัน ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ที่เป็นตลาดกลางในการซื้อขายรถมือสองครับ แบบที่ 2 ทุนประกันจำกัด ตามมูลค่าที่บริษัทประกันภัยกำหนด ซึ่งมูลค่านั้นอาจจะต่ำกว่าราคาการซื้อขายในตลาด อันนี้มีบางบริษัทที่มีประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยประหยัดเป็นพิเศษออกมาขายในตลาด ทุนประกันแค่ 1 แสน หรือ 2 แสนบาท การเลือกใช้แพคเกจที่มีทุนประกันต่ำกว่ามูลค่าจริงตามลักษณะนี้ แปลว่าเราต้องพร้อมที่จะดูแลตนเองหากมูลค่าความเสียหายนั้นสูงกว่าทุนประกันที่ทำไว้
ความคุ้มครองคนขับและผู้โดยสารในรถเรา อันนี้ทั้งในส่วนของคนขับและผู้โดยสารในรถเรา เราจะใช้ความคุ้มครองของ พ.ร.บ. ก่อน พี่เม่นจึงแนะนำให้คิดความคุ้มครองในส่วน พรบ ไว้แค่ค่าเสียหายเบื้องต้น สาเหตุที่ให้คิดไว้แค่นี้เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเมื่อเกิดเหตุการณ์จริงจะมีตัวแปรอะไรส่งผลต่อความคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน คิดเผื่อไว้แล้วความคุ้มครองเกินดีกว่าขาด ค่าเสียหายเบื้องต้นจะมีความคุ้มครอง ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 30,000 บาท และการเสียชีวิต 35,000 บาท ถัดจากนั้นก็มาใช้ความคุ้มครองจากประกันภัยภาคสมัครใจ ถ้าหากยังไม่พออีกแต่ละคนมีประกันหรือสวัสดิการอะไรบ้างมั้ยที่เอามาใช้เพิ่มเติมได้ ถ้าหากไม่มีเลยก็อาจจะเลือกแพคเกจที่มีความคุ้มครองส่วนนี้สูงกว่าหรือไม่ก็ซื้อ Motor Add On ก็ได้
บางแพคเกจจะมีเงื่อนไขพิเศษบางอย่างที่ทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลง ถ้าใช้แพคเกจแบบนั้นจะทำให้เราลำบากขึ้นหรือเปล่า เช่น Family Man ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ เราสะดวกมั้ย รถเราใช้ขับอยู่กี่คน ถ้าไม่เกิน 2 คนก็ไม่มีผลอะไรกับการใช้งานของเรา หรือแพคเกจ อัพทูไมล์ ที่จำกัดปริมาณการใช้งาน แต่สามารถ Top Up ได้ ซึ่งอายุการใช้งานจะแล้วแต่ว่าอะไรหมดก่อนระหว่างวันใช้งาน หรือระยะทาง แปลว่าเราจะต้องระวังความคุ้มครองหมดมากขึ้นอีก1 เงื่อนไข จะทำให้เราลำบากขึ้นมั้ย
ช่องทางการซื้อและรูปแบบการชำระเงิน การซื้อในช่องทางที่ต่างกัน กับรูปแบบการชำระเงินที่ต่างกันอาจจะทำให้เราได้รับผลประโยชน์มากขึ้นหรือน้อยลงด้วย ส่วนนี้พี่เม่นจะทำเป็นคลิปแยกออกไปเพื่ออธิบายอย่างละเอียดอีกคลิปหนึ่งอย่างละเอียดให้เราได้ใช้ในการพิจารณาครับ
ราคาสุทธิที่เราต้องชำระ ราคาตามใบเสนอราคา ตัวนี้ยังเป็นเพียงแค่ข้อมูลกว้าง ๆ ให้เราใช้ในการพิจารณาเท่านั้นเอง แต่พี่เม่นยังไม่ได้ใช้เป็นตัวตัดสินใจ เพราะจะมาคำนวนหาค่าใช้จ่ายสุทธิที่เราจะต้องจ่ายอีกที ผลประโยชน์สมาชิก เป็นอีกส่วนนึงที่พี่เม่นแนะนำให้นำมาคำนวณ เพื่อสรุปค่าใช้จ่ายที่แท้จริง สิ่งที่จะต้องทราบคือ - ผลประโยชน์สมาชิกจะได้มากหรือน้อย อ้างอิงจากวันแจ้งงานเป็นหลัก เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดถือจากวันที่ขอใบเสนอราคา - มีการอัพเดทผลประโยชน์สมาชิกทุกวันที่ 1 และไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เพราะฉะนั้นหากมีแผนจะแจ้งงานในช่วงรอยต่อของเดือน ก็จะต้องเลือกระหว่าง จะแจ้งงานให้เสร็จและใช้ผลประโชน์ของเดือนนี้เลย หรือจะรอลุ้นของเดือนหน้า ซึ่งพี่เม่นเก็บข้อมูลผลประโยชน์สมาชิกให้ลูกทีมเช็คย้อนหลังตั้งแต่ปี 2018 ราคาสุทธิที่เราจะต้องจ่าย เมื่อเทียบกับมูลค่าความคุ้มครอง พี่เม่นแนะนำให้นำข้อมูลทั้งหมดนี้มาคำนวณเปรียบเทียบใน Google Sheet หรือ Excel เพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น หรือใครไม่ถนัดจริง ๆ จะสรุปตัวเลขนี้ในใบเสนอราคาที่น้องเจ้าหน้าที่ให้มาก็ได้ เมื่อคำนวณทุกอย่างสรุปออกมาหมดแล้ว เราจะมองเห็นแพคเกจที่คุ้มค่าที่สุดเอง ซึ่งอาจจะไม่ใช่แพคเกจที่ถูกที่สุด เพราะบางแพคเกจมีราคาแตกต่างกันหลักร้อย แต่ความคุ้มครองแตกต่างกันหลักแสนหลักล้านเลยทีเดียว
และนี่ก็คือเงื่อนไขทั้งหมดที่เอามาใช้พิจารณาเลือกแพคเกจประกันภัยครับ ในคลิปถัดไป พี่เม่นจะมาอธิบาย ช่องทางการซื้อประกันภัยรถยนต์ และวิธีการชำระเงินให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดครับ