หากคุณมีงบไม่สูงนักสำหรับประกันภัยรถยนต์ ก็จะต้องประหยัดกันหน่อย แต่ประกันภัยชั้น 3 หรือ 3+ อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับทุกคน ถ้าหากคุณศึกษาความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทให้มากขึ้น บางทีคุณอาจจะได้ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถของคุณในราคาที่ประหยัดก็เป็นไปได้
ในบทความนี้ เราจะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเรื่องความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย เนื่องจากประกันภัยรถยนต์ทุกประเภทให้ความคุ้มครองเหมือนกัน ต่างกันที่มูลค่าความคุ้มครอง แต่เราจะพูดถึง ความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นจุดสำคัญตัวนึงที่มีผลต่อราคาเบี้ยประกันภัย โดยลองเปรียบเทียบจากข้อมูลในตารางด้านล่างนี้
จากในตารางเราลองมาวิเคราะห์ดูว่าประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภท ผู้เอาประกันภัยต้องรับความเสี่ยงอะไรไว้บ้าง
1. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบจ่ายราคาเต็ม
ประกันภัยรถยนต์ชั้นนี้ ให้ความคุ้มครองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นกับรถและยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย เราเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ก็คุ้มครองทั้งหมด
แต่ผู้เอาประกันภัยยังคงต้องแบกรับความเสี่ยงเอาไว้เล็ก ๆ น้อย ๆ คือมีค่าเสียหายส่วนแรกภาคบังคับ (Excess) เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท หากอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นจาก
อุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการชนรถด้วยกันหรือพลิกคว่ำ
การชนรถด้วยกันแต่ไม่สามารถหาคู่กรณีได้
ประกันภัยชนิดนี้เหมาะกับ คนที่ต้องการความสะดวกสบายและไม่อยากแบกกรับความเสี่ยงใด ๆ ไว้เองเลย หากเกิดเหตุอะไรให้ประกันจัดการให้ทั้งหมด อย่างมากก็เสียค่า Excess เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคู่กรณีคือใครก็ได้
แน่นอน คนที่มีงบประมาณไม่สูงอาจจะไม่สามารถเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบจ่ายราคาเต็มได้แต่ผมใส่ข้อมูลมาด้วย เพื่อจะได้เปรียบเทียบว่า เมื่อคุณลดราคาเบี้ยที่จ่ายลงไปในแพคเกจอื่น ๆ คุณจะต้องรับความเสี่ยงอะไรเพิ่มขึ้นมา
2. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบระบุชื่อผู้ขับขี่
การระบุชื่อผู้ขับขี่จะทำให้เราได้รับส่วนลดระหว่าง 5-20% จากราคาเบี้ยประกันภัย ซึ่งประกันภัยรถยนต์ชั้นนี้ ยังคงให้ความคุ้มครองอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับแบบที่เราจ่ายเต็มราคา แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ขับขี่จะต้องเป็นผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เท่านั้น โดยสามารถระบุชื่อไว้ได้สูงสุด 2 คน และส่วนลดจะคิดจากผู้ที่อายุน้อยที่สุด โดยความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยต้องแบกรับไว้เองคือ ค่า Excess และ ค่าผิดเงื่อนไขในกรณีที่เกิดเหตุโดยมีผู้อื่นที่ไม่ได้ถูกระบุไว้ในกรมธรรม์เป็นผู้ขับขี่ โดยต้องเสีย 2,000 บาทสำหรับซ่อมรถคู่กรณี และ 6,000 บาท สำหรับซ่อมรถของตนเอง
เงื่อนไขนี้เหมาะกับรถที่มีผู้ขับขี่ไม่เกิน 2 คนในการดำเนินชีวิตปกติ เช่น ครอบครัวเล็ก ๆ พ่อ แม่ ลูก หรือรถที่ปกติไม่ได้ให้ใครหยิบยืมไปขับอยู่แล้ว ถ้าจำกัดจำนวนคนคับแค่ 2 คนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ได้ ก็ไดัรับความคุ้มครองและความสะดวกสบายเหมือนกับที่จ่ายเต็มราคาทุกประการ แต่ยังได้รับราคาที่ถูกกว่าด้วย
3. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบระบุค่า Deductible
Deductible หรือ ค่าเสียหายส่วนแรกภาคสมัครใจ สามารถใช้เป็นส่วนลดเบี้ยประกันภัยได้ถึง 1,000 - 5,000 บาท ทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลงมาก แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุที่เข้าข่ายต้องเสียค่า Deductible เราก็ต้องจ่ายเงินส่วนนี้ครั้งละ 1,000 - 5,000 ตามส่วนลดที่เราได้รับเช่นเดียวกัน
ความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันต้องแบกรับไว้เองคือ ค่า Excess และค่า Deductible โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุที่เราเป็นฝ่ายผิด ไม่ว่าจะเป็นชนกับรถด้วยกันหรือชนกับวัตถุอื่นที่ไม่ใช่รถก็ตาม และยังรวมถึงการชนที่ไม่มีคู่กรณี หรือชนแล้วหนีอีกด้วย ซึ่งเจ้าของรถจะต้องมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ว่าคู่กรณีของเราคือใคร และต้องลงบันทึกแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจ และใช้ใบแจ้งความนั้นเป็นหลักฐานในการยกเว้นค่า Deductible
ผู้ที่เหมาะจะใช้เงื่อนไขนี้คือ คนที่ยอมรับได้หากรถยนต์จะมีรอยขูดขีดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการใช้งาน ไม่นำเข้าเครมโดยไม่จำเป็น เพราะทุกการเครมจะต้องเสียค่า Deductible เสมอ รวมถึงยังต้องพร้อมที่จะพิสูจน์ตนเองและการตามหาคู่กรณีมารับผิดชอบให้ได้ ซึ่งต้องใช้แรงจำนวนหนึ่งเช่นกัน และสิ่งที่เจ้าของรถควรมีเป็นอย่างยิ่งคือ กล้องติดรถยนต์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงสถานที่จอดรถที่มีกล้องวงจรปิดเพื่อเป็นหลักฐานในการตามหาคู่กรณี
4. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ราคาประหยัด
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ราคาประหยัดประเภทนี้เป็นที่สนใจกันมาก เพราะว่าราคาที่นำเสนอกันโดยทั่วไปเพียงแค่ 7,500 บาทเท่านั้น แต่ก่อนจะซื้อต้องพิจารณาให้ดีว่าเหมาะกับเราจริง ๆ หรือไม่ อย่าตัดสินใจซื้อเพียงเพราะราคาเท่านั้น
ความเสี่ยงที่ผุ้เอาประกันภัยจะต้องรับไว้เอง ได้แก่ ค่า Excess และ ค่า Deductible ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ที่เขียนว่ากรณีชนกับยานพนะทางบกไม่เก็บ Deduct ความหมายเพิ่มเติมที่ไม่ได้เขียนไว้คือ แม้เราจะเป็นฝ่ายถูก เราก็ยังจะต้องระบุคู่กรณีได้ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งจะมีเพียงส่วนน้อยที่สามารถระบุได้ นอกจากเราจะเห็นจะ ๆ ด้วยตาตนเองและจดจำรายละเอียดได้ และสุดท้าย ทุนประกันเหลือเพียง 100,000 บาท ซึ่งต่ำมาก และไม่คุ้มค่าเลยหากรถเรายังอายุไม่มาก และเกิดอุบัติเหตุหนักที่ความเสียหายเกิน 100,000 บาท
ผู้ที่เหมาะจะใช้ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้คือ คนที่ยอมรับได้หากรถยนต์จะมีรอยขูดขีดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการใช้งาน และไม่นำเข้าเครมโดยไม่จำเป็น เพราะทุกการเครมมีค่า Deductible บางทีการเครมเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเงินตัวเองอาจจะคุ้มค่ากว่า และรถคันนั้นควรจะมีอายุมากแล้ว ทุนประกันจริงตามอายุรถไม่ควรต่างจาก 100,000 บาทมากนัก
5. ประกันภัยประเภท 2+
ประกันภัยประเภทนี้ ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของเราเหมือนกับประกันภัยชั้น 1 แต่มีส่วนที่แตกต่าง คือ จะต้องชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น ความหมายก็เหมือนกับที่ระบุไว้ข้างต้น คือ จะต้องสามารถระบุคู่กรณีได้อย่างชัดเจน ส่วนการชนกับวัตถุอื่น ๆ และการพลิกคว่ำเอง ประกันไม่ได้ให้ความคุ้มครอง
ความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับไว้เอง ได้แก่ ค่า Excess และ ค่า Deductible ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ตามแพคเกจที่บริษัทประกันภัยเสนอมา ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด ประกันของเราก็คุ้มครองทั้งรถยนต์ของคู่กรณี และรถยนต์ของเราตามมูลค่าทุนประกันที่ทำไว้ แต่หากรถยนต์ของเราเป็นฝ่ายถูก เราต้องมีหน้าที่ระบุคู่กรณีของเราให้ได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความคุ้มครอง
ผู้ที่เหมาะสมที่จะใช้ประกันประเภทนี้ ควรใช้รถอยู่ในพื้นที่ที่ ไม่เกิดการพลิกคว่ำหรือไถลออกนอกถนนโดยไม่มีใครมากระทำได้โดยง่าย รวมถึงเป็นพื้นที่ที่จะมีคนเห็นเหตุการณ์เพื่อช่วยเราในการจดจำข้อมูลคู่กรณี หรือมีกล้องบันทึกข้อมูลเหตุการณ์ เพราะถ้าถูกชนแล้วหนีการหาคู่กรณีให้เจอไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย สามารถยอมรับรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการใช้งานได้เพราะประกันไม่ได้ให้ความคุ้มครอง รวมถึงทุนประกันจริงตามอายุรถก็ไม่ควรต่างจาก 100,000 - 300,000 บาทมากนัก
6. ประกันภัยประเภท 3+
ประกันภัยประเภทนี้ ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของเราเหมือนกับประกันภัยชั้น 2+ แต่มีส่วนที่แตกต่าง คือ จะไม่คุ้มครองกรณีรถยนต์ของเราสูญหายหรือไฟไหม้
ความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับไว้เอง ได้แก่ ค่า Excess และ ค่า Deductible ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ตามแพคเกจที่บริษัทประกันภัยเสนอมา ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด ประกันของเราก็คุ้มครองทั้งรถยนต์ของคู่กรณี และรถยนต์ของเราตามมูลค่าทุนประกันที่ทำไว้ แต่หากรถยนต์ของเราเป็นฝ่ายถูก เราต้องมีหน้าที่ระบุคู่กรณีของเราให้ได้ มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองเช่นกัน
ผู้ที่เหมาะสมที่จะใช้ประกันประเภทนี้ เหมือนกับประกันชั้น 2+ คือควรใช้รถอยู่ในพื้นที่ที่ ไม่เกิดการพลิกคว่ำหรือไถลออกนอกถนนโดยไม่มีใครมากระทำได้โดยง่าย รวมถึงเป็นพื้นที่ที่จะมีคนเห็นเหตุการณ์เพื่อช่วยเราในการจดจำข้อมูลคู่กรณี หรือมีกล้องบันทึกข้อมูลเหตุการณ์ สามารถยอมรับรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการใช้งานได้เพราะประกันไม่ได้ให้ความคุ้มครอง รวมถึงทุนประกันจริงตามอายุรถก็ไม่ควรต่างจาก 100,000 - 300,000 บาทมากนัก
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะเห็นแนวทางในการเลือกประกันภัยให้เหมาะสมกันมากขึ้นรึเปล่าครับ ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนที่อ่านสามารถเลือกประกันภัยรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถของตนเองได้มากขึ้นนะครับ
แถมอีกหน่อย
หากสนใจซื้อประกันรถยนต์ให้ได้ราคาประหยัดอีกหน่อย สามารถสมัครสมาชิกเพื่อซื้อประกันในราคาสมาชิกกับศรีกรุงโบรคเกอร์ โดยสมาชิกจะได้รับส่วนลดในการซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นจำนวน 5-12% ขึ้นอยู่กับว่าซื้อประกันภัยของบริษัทไหน
นอกจากนั้นสมาชิกที่แนะนำให้คนอื่นสมัครเป็นสมาชิกจะได้รับค่าแนะนำ 1% จากทุกยอดซื้อของคนที่เราแนะนำเข้ามาอีกด้วย
สนใจสมัครร่วมทีมงานเดียวกับพี่เม่น
ติดต่อได้ที่ Line ID : srikrung168 Line : http://line.me/ti/p/~srikrung168
หรือโทร 0-654-088-088
ใบสมัครออนไลน์ สมัครเป็นทีมงานติดตัวพี่เม่น https://www.srikrungexpo.com/k25655
Comments